เรื่องเล่าของชาวประมงกับนักธุรกิจ

--

กระแสเรื่อง Work Life Balance ช่วงนี้ทำให้นึกถึงเรื่องเล่าจาก Forward Mail ที่ส่งต่อกันอย่างแพร่หลายเมื่อหลายปีก่อน ซึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวนักธุรกิจคนหนึ่งที่ไปเที่ยวพักผ่อนที่หมู่บ้านชายทะเลและได้พบกับชาวประมงคนหนึ่ง…ซึ่งนำไปสู่บทสนทนาที่อาจจะทำให้เราฉุกคิดเรื่องการใช้ชีวิตได้อย่างมากเลยทีเดียว

เรื่องมีอยู่ว่า นักธุรกิจคนหนึ่งลาพักร้อนเพื่อไปเที่ยวพักผ่อน (หรือที่เราชอบเรียกว่าหนีไปชาร์จแบตในปัจจุบัน) เขาไปยังสถานที่ห่างไกลและเดินทางเข้าไปในหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมชายทะเลแห่งหนึ่ง

ช่วง 2–3 วันแรกที่เขาใช้เวลามองดูผู้คนในชุมชน เขาสังเกตว่ามีชาวประมงคนหนึ่งนั่งตกปลาอยู่และเขาดูมีความสุขมาก นักธุรกิจสนใจใคร่รู้จึงเดินเข้าไปคุยด้วย

นักธุรกิจ: “โห! คุณจับได้ปลาตัวโตๆทั้งนั้นเลยนะครับ ต้องใช้เวลานานไหมครับในการจับปลาเหล่านี้?”

ชาวประมง: ”ก็..ใช้เวลาไม่นานนักหรอกครับ ประมาณ 2–3 ชั่วโมง”

นักธุรกิจ: “แค่นั้นเองหรอครับ? แล้วทำไมไม่ใช้เวลาให้นานขึ้น เพื่อจะได้ปลามากขึ้นหล่ะ?”

ชาวประมง: ”แค่นี้ก็เพียงพอสำหรับทำอาหารเลี้ยงครอบครัวแล้วครับ”

นักธุรกิจ: “แล้วคุณใช้เวลาที่เหลือทำอะไรหรอ?”

ชาวประมง: ”ปกติผมตื่นนอนตอนเช้า กินอาหารเช้ากับภรรยาและลูก ๆ หลังจากพวกเขาไปโรงเรียนผมก็ออกทะเลไปจับปลาสักพักแล้วกลับมา จากนั้นก็งีบเอาแรงนิดหน่อย ตอนเย็นก็ออกไปพบปะเพื่อนฝูงในหมู่บ้านจนค่ำ บางวันก็ออกไปเดินเล่นริมชายหาดกับภรรยา มองดูพระอาทิตย์ตกดิน ขณะที่ลูก ๆ ว่ายน้ำเล่นกัน”

นักธุรกิจหัวเราะและยืดอกพูดว่า: “ผมจบปริญญาโทการบริหารจากฮาวาร์ด ผมจะแนะนำให้
จากนี้ไปคุณควรใช้เวลาจับปลาให้มากขึ้น จับให้ได้มากที่สุดเพื่อให้มีเงินเหลือเก็บ และเมื่อเงินที่เก็บมีจำนวนมากพอ ก็นำไปซื้อเรือลำใหญ่ขึ้นเพื่อจับปลาจำนวนมากขึ้นอีก ในไม่ช้า คุณก็จะสามารถซื้อเรือเพิ่มขึ้น ชาวประมงของเรือเหล่านั้นก็จะจับปลาได้มากขึ้นหลายเท่า แล้วคุณก็ขยายนักธุรกิจให้ใหญ่ขึ้น ภายในไม่กี่ปีคุณก็จะมีออฟฟิศในเมืองใหญ่ ผมพนันได้เลยว่าคุณจะมีธุรกิจส่งออกปลาไปทั่วโลกได้ภายในสิบปี”

ชาวประมง: “แล้วหลังจากนั้นจะเป็นยังไงครับ ?”

นักธุรกิจ: “คุณยังไม่เข้าใจอีกเหรอ! หลังจากนั้นคุณก็สามารถเกษียณตัวเอง แล้วมองหาหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมทะเลสักแห่ง ที่ซึ่งคุณสามารถนอนตื่นสาย จับปลาเมื่ออยากจับ เล่นกับลูก ๆ และพักผ่อนตามต้องการ ตอนเย็นก็ออกไปพบปะเพื่อนฝูง คุณจะดื่ม จะร้องรำทำเพลงกับเพื่อน ๆ ได้อย่างสบายใจ คุณจะไม่มีอะไรต้องกังวลอีกเลย”

ชาวประมงยิ้มให้นักธุรกิจและพูดว่า:

“นั่นมิใช่สิ่งที่ผมกำลังทำอยู่แล้วหรือครับ ?”

เมื่อทุกท่านอ่านเรื่องนี้..คงตีความและมีความคิดแตกต่างกันไป

สำหรับผู้เขียนเองมีแนวคิดอย่างหนึ่งที่เพิ่งจะคิดได้เมื่อปีที่ผ่านมานี้ในวัย 35 ปี ซึ่งแนวคิดนั้นก็คือ

จะเลิก”อดเปรี้ยวไว้กินหวาน” แต่จะ “กินเปรี้ยวบ้างกินหวานบ้าง”

หมายความว่า จะเลิกทุ่มเททรัพยากร..ไม่ว่าจะเป็นเวลา เงิน หรือ พลังงาน..ไปเพื่อความสุขในอนาคต แต่จะใช้เพื่อความสุขในปัจจุบันด้วยและลงทุนเพื่ออนาคตด้วย
ทั้งนี้ก็เพื่อให้เราเป็นคนที่มีความสุขในปัจจุบัน มีเวลาได้พักผ่อน เที่ยว ดูซีรีย์ เล่นกับหมาไปตามเรื่อง แบบไม่ต้องดิ้นรนขวนขวายเพื่อความสำเร็จในเรื่องงานและเงินมากจนเกินไป แต่ก็จะไม่ใช้ทรัพยากรเหล่านั้นเพื่อปัจจุบันอย่างเดียวจนกลายเป็นคนแก่ที่เป็นภาระสังคมในอนาคตเช่นกัน

อย่างไรตาม นี่ไม่ใช่การสนับสนุนให้เป็นคนเกียจคร้าน การทำมาหากินเพื่อความเป็นอยู่ที่เหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นและความสุขของแต่ละคนไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน อยู่ที่ความพอใจของปัจเจคบุคคล และถึงแม้จะมีเป้าหมายเดียวกัน วิธีไปถึงเป้าหมายของแต่ละคนก็อาจแตกต่างกันได้

แล้วทุกท่านหล่ะคะ ได้ข้อคิดอะไรบ้างจากเรื่องนี้?

--

--

Rachanee Saengkrajai
Rachanee Saengkrajai

Written by Rachanee Saengkrajai

Senior Software Engineer and Team Lead

No responses yet